-
หลังจาก 1 เดือน
คุณจะต้องจ่าย บ. -
หลังจาก 6 เดือน
คุณจะต้องจ่าย บ. -
หลังจาก 1 ปี
คุณจะต้องจ่าย บ. -
หลังจาก 5 ปี
คุณจะต้องจ่าย บ.
ผจญภัยในโลกแห่งเสียงเพลงมานานกว่า 22 ปีแล้ว สำหรับ หนุ่ม ณพสิน แสงสุวรรณ หรือ หนุ่ม กะลา นักร้องเพลงร็อกเจ้าของผลงานเพลงดังมากมาย อาทิ ไม่มาก็คิดถึง, รอ, ขอเป็นตัวเลือก, อยากเกิดเป็นคนหลายใจ, เธอเป็นแฟนฉันแล้ว, บอกสักคำ, ใช่ฉันหรือเปล่า ฯลฯ
แต่ชีวิตในวงการเพลงของเขาคนนี้เปรียบเหมือนการนั่งรถไฟเหาะ เพราะผ่านมาแล้วทั้งจุดสูงสุดและต่ำสุดของชีวิต และไม่รู้ว่าวันเวลาข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป
บันเทิงไทยรัฐออนไลน์พาไปพูดคุยกับหนุ่มตั้งแต่ก้าวแรกสู่วงการเพลง ที่ในเวลานั้นเขาไม่ได้คิดอยากเป็นนักร้องเพลงร็อก แต่เพราะการประกวดดนตรีเวทีดังทำให้เขากลายเป็นนักร้องเพลงร็อกในนามวง “กะลา” และมีผลงานเพลงดังมากมาย
แต่หลังจากนั้นกราฟชีวิตก็ดิ่งลงหนัก ทั้งติดเหล้า วงกะลาแตก เป็นโรคซึมเศร้า และเจอคดีความเกี่ยวกับลิขสิทธิ์เพลง สุดท้ายเขาก็ผ่านพ้นวิกฤติมาได้ เพราะความมุ่งมั่นพยายามพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
เมื่อหนุ่ม กะลา เจอคำถามถึงชีวิตการเดินทางในวงการเพลงตลอด 22 ปีที่ผ่านมาว่าเป็นยังไงบ้าง หนุ่มเปรียบเปรยว่าเส้นทางครั้งนี้เหมือนได้ขึ้นรถไฟเหาะ
“เปลี่ยนไปเยอะครับ ถ้าเล่าวันนึงอาจไม่จบ เพราะมันมีหลายแง่มุมมาก ผมว่าผมเหมือนได้ขึ้นรถไฟเหาะตีลังกาหลายรอบ ผมเคยอยู่ในจุดที่ถ้าได้เป็นศิลปินในเมืองไทยเหมือนเป็นเทวดา เป็นพระเจ้าในช่วงเวลานึง จนวันนึงศิลปินเป็นเหมือนเพื่อนเท่านั้น หรือในแง่การขายเทป ซีดี มันเปลี่ยนไปมาก และไม่รู้ว่าอีก 6 เดือนข้างหน้าจะเป็นยังไงต่อไปด้วยนะครับ”
จากนั้นหนุ่มเล่าถึงวันแรกที่เขาเริ่มนั่งรถไฟเหาะแห่งเสียงเพลง คือการประกวดฮอตเวฟ มิวสิค อวอร์ด ในนามวง “กะลา” หนุ่มบอกว่า
“ที่ผ่านมาจริงๆ ความฝันเดียวของผมคือการเป็นนักร้อง ตั้งแต่เด็กมุ่งมั่นเป็นนักร้องอย่างเดียวเลย จำความได้ก็อยากเป็นนักร้องเลย ชอบร้องเพลงเลย
มีรูปถ่ายใบนึงตอนอายุ 2 ขวบครึ่ง ผมร้องเพลง “บัวลอย” ของคาราบาว แม่เล่าให้ฟังครับ แม่บอกว่าหลังจากวันนั้นผมชอบร้องเพลงมาตลอด อยากเห็นหน้าตัวเองในปกเทป ส่วนไอดอลมีหลายคน แล้วแต่ช่วงเวลามากกว่า บางช่วงเป็นพี่ติ๊ก ชิโร่ พี่เบิร์ด ธงไชย คาราบาว
ผมไม่ได้อยากเป็นนักร้องเพลงร็อก (หัวเราะ) แต่ตอนที่ประกวดฮอตเวฟ มิวสิค อวอร์ด มันต้องประกวดเป็นวงร็อก แต่วันนั้นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือคิดแค่ว่าอะไรก็ได้ที่ทำให้เราไปใกล้ความฝันเราที่สุด
แข่งฮอตเวฟเพราะคิดว่าในที่สุดแล้วปลายทางความฝันของเราคือการได้ออกเทป วันนี้ถ้าไม่ได้ร้องเพลงป๊อปแล้วได้ออกเทปก็ทำเถอะ ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ถึงฝันเหมือนกัน
แต่ถามว่าชอบเพลงร็อกมั้ยก็ชอบ ผมเป็นคนชอบความป๊อปปูลาร์ ผมไม่ได้แยกประเภทว่าชอบเพลงแดนซ์ ร็อก เฮฟวี่ เช่น พี่เบิร์ดดังก็ชอบพี่เบิร์ด คือเป็นแนวอะไรก็ได้ ผมเสพงานแบบนั้นมา จนวันนึงประกวดฮอตเวฟก็ได้ออกเทปเป็นเพลงร็อก
ถามว่าความรู้สึกมันแย้งกันมั้ย ไม่ครับ ผมดุเดือดมากเลยครับ ย้อนกลับไปดูภาพเก่าๆ ดูเถื่อนมากเลยครับ (หัวเราะ) แต่ถามว่าเคยคิดแวบๆ อยากไปร้องตามสไตล์ไอดอลตอนเด็กมั้ย
เอาจริงๆ จบอัลบั้มชุดแรกเคยมีความคิดนี้ และเคยคุยกับรุ่นพี่ในวงการที่ออกเทปก่อนหน้าว่าผมจะสลับวงไปทำเพลงป๊อป แต่มันก็เป็นแค่ความคิดแวบนึงขึ้นมาเฉยๆ มันทำแบบนั้นไม่ได้เพราะว่าเราติดสัญญา
แต่พอทำเพลงชุดที่ 2 เราเริ่มหาเพลง หาสไตล์ที่เป็นตัวเราจริงๆ ได้แล้ว มันร็อกก็จริง แต่เพลงช้ามีความเป็นป๊อปมาก ซึ่งมันก็บาลานซ์หัวใจเราได้ ซึ่งงานชุดที่ 2 เพลงดังก็คือ “ขอเป็นตัวเลือก” ชุดนั้นก็ขายดีเป็นล้านอัลบั้ม เหมือนเราเจอจุดที่เป็นคาแรกเตอร์ของเราแล้วอยู่กับมันอย่างมีความสุขด้วย มันก็ยาวเลยครับ”
จากอัลบั้มชุดที่ 2 “นอกคอก” ปี 2544 มีเพลงดัง “ขอเป็นตัวเลือก, อยากเกิดเป็นคนหลายใจ” สู่อัลบั้มชุดที่ 3 “หัวกะทิ” ปี 2545 ที่มีเพลงสุดฮิต “เธอเป็นแฟนฉันแล้ว” ถือเป็นช่วงที่พีคที่สุดของวงกะลา
หนุ่มเล่าถึงความฮอตในช่วงนั้นว่า “ถ้าตอนเป็นวงกะลา ช่วงชุดที่ 3 คือดังที่สุด เพราะว่าไปเล่นหนัง มีงานอัลบั้มพิเศษเยอะครับ พอเราเจอเพลงที่เป็นคาแรกเตอร์ของเรา เราจะไม่ค่อยพลาด ทุกอัลบั้มจะมีเพลงช้าที่เป็นเพลงฮิตทุกอัลบั้มเลย แต่ตัวผมเป็นคนไม่ค่อยสนใจกับเรื่องชื่อเสียงเท่าไร
ตอนผมดังที่สุดแล้วเล่นหนัง ผมก็ยังขึ้นรถเมล์อยู่ ยังอยู่บ้านหลังเดิมที่อยู่ในชุมชน ผมเพิ่งมาซื้อบ้านใหม่ตอนหลังอัลบั้มชุดนี้ แต่ถามว่าตอนนั้นมีตังค์เก็บมั้ย มีตังค์เก็บเยอะแล้วด้วยครับ แต่ผมไม่ได้รู้สึกโบยบินไปกับชื่อเสียงอะไรเลย
แต่ปัญหาช่วงนั้นที่มีกับผมมากกว่าน่าจะเป็นเรื่องกินเหล้า ก็กินหนักครับ กินเกือบทุกวัน กินหนักมากจนคิดว่าน่าจะต้องตายเพราะเหล้าครับ กินอยู่ประมาณ 4 ปีพอดีหลังจากนั้น
ซึ่งส่งผลกระทบกับทุกแง่เลยครับ ร่างกายแย่ลง เสียงร้องก็แย่ลง หน้าตาก็ดูโทรม มันไม่ดีในทุกมิติ คนรอบข้างก็เตือนตลอด แต่เราก็หยุดไม่ได้ แต่ที่สุดแล้ววันนึงผมก็เลิกเองครับ เพราะมันเดินทางมาถึงจุดที่ต้องเลือกว่าจะเป็นสิงห์คอทองแดงหรืออยากเป็นนักร้อง กราฟทุกอย่างมันเริ่มร่วงลง
คือช่วง 10 ปีแรกผมพูดได้เลยว่าเป็นขาขึ้นหมด เพลงช้าเพลงไหนก็ไม่เคยพลาด แต่พอวงกะลายุคแรกแตก เราเปลี่ยนสมาชิกในยุคที่ 2 มันเป็นยุคที่ไม่สวยหรูแล้ว มันไม่ใช่ขาขึ้น เรียกว่าประคองยังไม่ได้เลย
ชื่อเสียงจากอยู่บนฟ้ามันร่วงลงไปใต้ดินเลย เป็นช่วงที่ทำให้ผมรู้สึกว่าถ้าเราอยากจะกลับไปอยู่ที่เดิม เราทำตัวแบบเดิมไม่ได้ ก็เลยเลิกเหล้า นั่นคือจุดเปลี่ยน”
ในช่วงที่กราฟชีวิตดิ่งลงหนัก ชื่อเสียงและงานหดหาย เป็นโรคซึมเศร้า หนุ่มเล่าถึงการผ่านพ้นช่วงเวลานั้นให้ฟังว่า
“ช่วงเวลานั้นยากครับ เพราะว่าจากที่เคยกินเหล้าหนักมากในช่วงเวลานั้น นอกเหนือจากกินเหล้าก็คิดมาก เป็นโรคซึมเศร้าไม่รู้ตัว ยิ่งคิดเยอะก็กินเหล้าเยอะ มีภาวะเครียด ก็วนอยู่แบบนี้ สุดท้ายครอบครัวก็พาไปพบแพทย์ แพทย์ก็ทำการรักษาในช่วงระยะนึง ก็ให้ยามากินและรักษาต่อเนื่อง
ทุกวันนี้หายจากซึมเศร้า ไม่ต้องทานยาแล้ว ผมเป็นคนแปลกๆ เรื่องนึง ผมจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ตลอดเวลา ถ้าสมมติมีบางคำพูด มีบางเหตุการณ์ ผมจะเปลี่ยนเป็นอีกคนนึงได้เลย
เช่น ผมเป็นโรคซึมเศร้าแล้วมูฟออนจากสิ่งที่เครียดไม่ได้ พอผมไปเจอแพทย์แล้วคุยให้ผมฟัง ผมสามารถเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนตัวเองได้เลยทันที บางช่วงถ้าผมท้อมากๆ ผมไปเจอพี่นิค (วิเชียร ฤกษ์ไพศาล) พอพี่เขาพูดแค่คำสองคำ คำสองคำนั้นเขาอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าจะเปลี่ยนแปลงผม พอผมฟังแล้วจะเปลี่ยนได้ทันที
นั่นคือความโชคดีที่ตอนผมเป็นโรคซึมเศร้า พอรักษาก็ไม่ได้นอนซม แต่ผมจะฝืนตัวเองแล้วบอกว่าเราทำได้ เราต้องเปลี่ยน
ถามว่าตอนที่เป็นไม่เคยคิดจะคิดสั้นใช่มั้ย จริงๆ ตอนช่วงที่เป็น ช่วงที่กินเหล้า ผมเคยจะเอาปืนของเพื่อนที่เป็นตำรวจมายิงตัวเอง มันเลยทำให้ผมรู้ว่าโรคนี้น่ากลัวจริงๆ คือคนที่เป็นโรคนี้ เขารู้ว่าเขารู้สึกยังไง เพียงแต่หยุดความคิดนั้นไม่ได้จริงๆ มันก็จะวนอยู่เรื่องเดิมๆ ย้ำคิดย้ำทำอย่างนั้นครับ”
เมื่อเลิกเหล้าแล้ว หนุ่มเริ่มมีผลงานเพลงกับสมาชิกวงกะลาในยุคที่ 2 แต่ทุกอย่างก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด หนุ่มบอกว่าช่วงนั้นเหมือนตกสวรรค์เลยทีเดียว
“มันเหมือนตกสวรรค์น่ะ เราไม่เคยคิดเลยว่าการเปลี่ยนวงและยุคสมัยที่เปลี่ยนไป มันส่งผลรุนแรงต่องานและจิตใจของเรา แต่ก่อนผมเคยเล่นงานกลางแจ้ง 10 ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยพลาด แต่ละที่ที่ไปเหยียบ พื้นที่ความจุพันหรือหมื่นคนก็เต็มตลอด แต่หลังจากนั้นในที่เดียวกันที่ผมไปเหยียบจากเป็นหมื่นเหลือแค่ 300 คน
แล้วเจอกระแสโจมตีจากคนที่เคยเป็นแฟนเก่าของวงกะลาตั้งแต่แรก เขาไม่ยอมรับสมาชิกใหม่ กลายเป็นว่าช่วงนี้เรารู้สึกอยากเลิกร้องเพลงไปเลย เพราะมันรู้สึกได้ว่าหมดยุคของเรา ทำให้เครียดไม่ต่างกับตอนนั้น
เราไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงให้เรากลับมามีชื่อเสียงได้เหมือนเดิม หรือถ้าเราเลิกร้องเพลงตอนนี้ เราจะทำอะไรกิน มันก็เครียดครับ แต่ว่าในระหว่างที่เครียด ผมไม่หยุดพัฒนาตัวเอง เราพยายามไปซ่อมจุดอ่อนของเรา ไปเรียนจิตวิทยาเพิ่ม ไปทำอะไรก็ตามที่เสริมสร้างบุคลิกภาพ แล้วทำให้ตัวเองพร้อมขึ้นกับโอกาสที่จะมา
ด้วยความเป็นยุคเปลี่ยนผ่าน 10 ปีแรกของกะลามันเป็นยุคนึง แล้วพอมาถึงอีกยุคนึง วงการเพลงเปลี่ยนด้วย พอวงการเพลงเปลี่ยน นักร้องอีกยุคนึงส่วนมากในอดีตที่ล้มหายตายจากไปเพราะพอเปลี่ยนยุค ขายไม่ได้ ก็เฟดหายไป
แต่ผมยังดื้อดึงอยู่ในวงการ มันเลยได้รับความเจ็บปวดมากหน่อยแค่นั้นเองครับ แต่อัลบั้มที่ 2 ของวงกะลายุค 2 ก็กลับมาประสบความสำเร็จ แต่อาจจะไม่ได้เทียบเท่าตอนเป็นวงกะลา แต่ก็ถือว่าเป็นงานที่สำเร็จมากอันนึง
แต่ที่วงต้องเลิกไปเพราะคนในวงกับผมไม่ได้มีเป้าหมายเหมือนกันแล้ว แล้วมันทำงานยาก ผมเลยขอลาออกจากวงและบอกเพื่อนๆ ว่าวงกะลาจะไม่ถูกทำอีกแล้ว ยุติไว้แค่นี้ เลยมาเป็นศิลปินเดี่ยวครับ”
ในการทำงานศิลปินเดี่ยว หนุ่มบอกว่ารู้สึกแปลกในช่วงแรก ทำงาน 15 ปีก็อยู่กับเพื่อนมาโดยตลอด ไม่ได้มีแผนมาเป็นนักร้องเดี่ยว แต่สิ่งที่เตรียมไว้คือการเตรียมตัวเอง เข้าฟิตเนส พัฒนาเรื่องร้องเพลง เรียนดนตรีเพิ่ม เรียนจิตวิทยา ทำอะไรก็ตามที่ทำให้ตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น
พอวงกะลายุคที่ 2 แตก ก็ไม่มีภาวะทางจิตใจเลย มีอยู่อย่างเดียวคือแค่รู้สึกเสียใจที่พาชื่อวงกะลาไปไม่ถึงฝัน ไม่มีคอนเสิร์ตใหญ่ในนามของวง แต่ในความพร้อมในจิตใจของตัวเองพร้อมทำงานในรูปแบบอื่นๆ อย่างเต็มที่แล้ว
การทำศิลปินเดี่ยวทำให้รู้สึกเหงา เวลาตัดสินใจทำอะไรก็เป็นเราคนเดียว ถูกหรือผิดเกิดจากตัวเองคนเดียว ซึ่งไม่ทำให้ง่ายขึ้น ถ้าเป็นงานยากๆ เมื่อก่อนจะมีเพื่อนเสริมความมั่นใจ แต่พอเป็นคนเดียวก็ไม่รู้ว่าการตัดสินใจจะพลาดมั้ย ช่วงแรกจะยากเรื่องนี้มากกว่า
อย่างที่หนุ่มบอกว่าชีวิตของเขาในวงการเพลงเหมือนการนั่งรถไฟเหาะ เพราะนอกจากจะเจอเรื่องวงกะลาแตกทั้ง 2 รอบ ติดเหล้าหนัก เป็นโรคซึมเศร้า หนุ่มยังเคยถูกฟ้องเป็นคดีความจากกรณีนำเพลงหนึ่งไปร้องเพลงตามจังหวัดต่างๆ หลายสิบแห่ง ทำให้ถูกจับในความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์เพลง
เมื่อถามว่าเคยคิดไหมว่าทำไมชีวิตต้องเจออะไรเยอะขนาดนี้ หนุ่มถึงกับหัวเราะก่อนพูดว่า “นั่นน่ะสิครับ เจออะไรโลดโผนเยอะมากครับ”
ซึ่งหนุ่มเผยถึงชีวิตช่วงที่เจอคดีความว่า “ผมว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต ผมต้องขอบคุณที่ผมไปบวชมาก่อนหน้านี้นะครับ ตอนที่ผมไปบวช ผมไปบวชวัดป่า แล้วไปค้นพบการควบคุมความกลัวของตัวเองได้
ผมไม่ได้เลิกกลัวนะครับ แต่ผมจัดการความกลัวของตัวเองได้ ผมได้คำตอบจากการบวช หลังจากบวชไม่นานมันก็มีคดีความ ถ้าจิตใจผมไม่ได้ถูกฝึกจากการบวช ผมไม่เป็นคนแน่นอน
ผมพูดคำนี้ได้เลยเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่หนักจริง บางคนอาจจะมองว่าก็แค่ไปโรงพัก ขึ้นศาลก็จบ แต่มันไม่จบครับ สมมติมีคดีความ 48 ที่ แล้ว 48 ที่ต้องการตัวคุณในเวลาวันเดียว คุณจะทำยังไง ทุกอย่างมันยากไปหมด
แต่โชคดีที่ไปบวชมา ตอนนั้นได้เรื่องนี้เป็นเรื่องหลักที่ทำให้ชีวิตผมดีขึ้น คือเรื่องความกลัว พอผมไปอยู่วัดป่า มันต้องนอนคนเดียว วัดมีพื้นที่ 2,500 ไร่ มีกุฏิแค่ 50 กุฏิ ถ้าคิดว่าเจอผีหรืออะไรที่ไม่ชอบ คุณไม่มีสิทธิ์วิ่งจากกุฏินึงไปอีกกุฏินึงในตอนกลางคืนแน่นอนครับ
ที่สำคัญตอนกลางคืนคุณเห็นแมงมุมและสัตว์ต่างๆ ออกมาหากินตามพื้น ไม่มีทางกล้าเดินไปแน่นอน นั่นคือความกลัวมากๆ ที่ต้องเจอในทุกๆ วัน
จนเราได้คำตอบบางอย่างจากการกลัวครั้งนี้ ก่อนหน้านี้ผมอาจเป็นคนจะทำงานอะไรก็ตามแล้วกังวลว่าเขาอาจจะไม่ชอบงานของเรา แต่ตอนนี้ไม่ ผมไม่คิดล่วงหน้าก่อนเลย ผมจัดการความกลัวของตัวเองได้ ผมยังไม่เลิกกลัวแมงมุมหรืออะไรทั้งนั้นได้ แต่ผมจัดการกับมันได้ ควบคุมความกลัวให้อยู่ในระดับที่เรายังตั้งสติได้ครับ”
ในยุคโควิด อีกหนึ่งอาชีพที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักคือศิลปิน เมื่อถามว่ารู้สึกยังไงที่คนในวงการเพลงด้วยกันอย่างวง Cocktail ชวนคนในวงการเพลงด้วยกันมาพูดคุยเพื่อหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้
หนุ่มบอกว่า “จริงๆ ผมก็ลงชื่อไปกับเขานะครับ อย่างแรกรู้สึกขอบคุณที่โอมและวง Cocktail ลุกขึ้นพยายามทำอะไรบางอย่าง ซึ่งตัวผมเองก็รู้สึกว่าเราทุกคนควรต้องพูด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมืองนะครับ เราแค่พูดถึงเรื่องปากท้องของเรา เหมือนพวกเราถูกลืมอย่างแท้จริง เป็นปราการด่านแรกที่ต้องหยุดทำงาน และเป็นปราการสุดท้ายที่ทุกคนนึกถึงหรือให้เปิดทำงานได้ เราแค่อยากถามว่าพอจะมีอะไรที่ช่วยเหลือเราได้บ้าง
ถามว่าอยากให้ช่วยเหลือยังไงบ้าง คือเท่าที่ผมเห็นตัวเลขของคนที่อยู่ในเครือข่าย พอนับตัวเลขออกมามี 28 ล้านคนที่อยู่ในเครือข่ายของคนที่ทำงานแวดวงนี้ ความไม่เข้าใจของพวกเราบางเรื่องก็คือทำไมเวลาสถานที่ไหนถูกปิด เราเคารพในกฎ
แต่ตลาดบางแห่งติดโควิด ก็ถูกปิดแค่ไม่นานก็ถูกเปิด แต่ผับ 1 แห่งที่มีโควิดแล้วถูกปิด ทำไมพวกเราถึงถูกปิดทั้งประเทศ ทำไมไม่ปิดเฉพาะที่เกิดเหตุ มันก็เป็นเรื่องที่เราทวงถามรัฐบาลหรือหน่วยงานที่ช่วยเหลือเราได้ว่าพอจะมีทางออกอะไรบ้าง”
และเมื่อถามว่าคิดเห็นอย่างไรกับการที่เพจศิลปินมักจะโพสต์ข้อความสร้างสีสันเพื่อเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะในสถานการณ์โควิด แต่กลับมีดราม่าไม่เห็นด้วยจากชาวเน็ตบางส่วน โดยมองว่าจะเจียดเวลาโพสต์สะท้อนปัญหาของประเทศได้หรือไม่
หนุ่ม กะลา บอกว่า “ผมเห็นทั้งที่เขาเล่นสนุกกัน และเห็นคอมเมนต์ที่ด่า ส่วนตัวผมเอง ผมรู้สึกว่ามันน่ารักดี ผมไม่เคยคุยกับน้องๆ ศิลปินหลายคน แต่การคอมเมนต์กันไปกันมามันสร้างมิตรภาพบางอย่าง
ผมมองว่าถ้ามองในมุมไม่สร้างประโยชน์ ก็ไม่ได้สร้างประโยชน์หรอกครับ การโพสต์คำคมหรืออะไรที่เหมือนไม่มีสาระ แต่นาทีนี้ผมรู้สึกว่ามันน่ารักเพราะตอนนี้มันเครียด แล้วสิ่งที่พอจะเยียวยากันเองได้ก็คือเรื่องพวกนี้แหละครับ ผมอ่านแล้วก็คิดว่าน่ารักดี ถ้าผมมีเวลามากกว่านี้ก็จะเล่นมากกว่านี้ แต่ติดเลี้ยงลูกครับ (หัวเราะ) เลยไปเล่นกับเขาไม่ค่อยได้
ถามว่าซีเรียสมั้ยกับดราม่า ไม่ซีเรียสเลยครับ ผมก็เข้าใจเขานะครับ คือเขาซีเรียสเพราะอาจจะอยากได้ประโยชน์จากคำพูดไอดอลของเขาก็ได้ เขาเลยติดตามเพจนี้ก็ไม่ผิดครับ เขาจะไม่ชอบก็ไม่ผิดครับ ต่างคนต่างมุมมองครับ ถามว่าผมโดนเอฟเฟกต์ตรงนี้บ้างมั้ย ผมไม่ค่อยโดน เพราะว่าเอาจริงๆ เพจผมเป็นเพจที่คนเมนต์เยอะอยู่แล้ว ผมอาจจะไม่โดนเพราะโพสต์แบบนี้กับแฟนคลับบ่อยครับ”
หนุ่มเล่าถึงการทำงานเพลงล่าสุด “จม” ซึ่งเป็นเพลงแรกของอัลบั้มชุดที่ 10 “JOY” ไว้ว่า เนื้อหาเพลงพูดถึงใครบางคนที่ยังมูฟออนไม่ได้ ยังจมกับเรื่องเดิมๆ ส่วนมิวสิกวิดีโอก็มีหนังสั้น 2 EP เป็นความรักของคน 3 คน ซึ่งจมอยู่ในความเจ็บปวดคนละรูปแบบ
ซึ่งในหนังสั้นเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับตัวเอง เพราะได้ มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับชื่อดังที่ฝากผลงานภาพยนตร์ดังหลายเรื่อง มาร่วมงานครั้งแรก และเป็นมิวสิกวิดีโอเพลงแรกของตัวเองที่มีเรื่องราวความรักแบบชายรักชาย ที่ผ่านมาทำหนังสั้นมาโดยตลอด และเพลงนี้เป็นอีกหนึ่งเพลงที่อยากทำเป็นรูปแบบหนังสั้น
“จริงๆ แล้วเพลงนี้ผมแต่งขึ้นมาเอง ก็มีเรื่องจริงของตัวเองด้วย เป็นเรื่องที่เราเจอจากคนรอบข้าง เพลงนี้ถูกแต่งมาต่อเนื่องจากเพลง “สบายดีหรือ” เมื่อปีที่แล้ว คือตอนที่แต่งเพลงสบายดีหรือแล้วมันอิน พออินแล้วก็แต่งเพลง “จม” ต่อ
โดยการไปดึงใครบางคนจากอดีตมาในความรู้สึกแล้วแต่งเป็นเพลงนี้ ส่วนหนังสั้นที่เลือกเป็นความรักแบบชายรักชาย ผมว่ามันเป็นเรื่องใหม่เรื่องนึงของผมด้วยนะครับ เอาจริงคือช่วงนี้จะครบวาระการเฉลิมฉลองของเพศทางเลือก
เราเลยปล่อยเพลงช่วงนี้ แล้วในมุมมองของผม ผมไม่ปิดกั้นเรื่องเพศ ผมรู้สึกว่า ความรักเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย พอได้คุยกับพี่มะเดี่ยวแล้วเขานำเสนอ ผมรู้สึกปิ๊งเลย
ที่มาร่วมงานกับพี่มะเดี่ยว ส่วนนึงมาจากการตอบโจทย์ที่เขาทำซีรีส์สายวายมาอยู่แล้ว ผมก็เป็นแฟนหนังของ ชอบรักแห่งสยาม ในส่วนนักแสดง (จิณณ์ จิณณะ, นิว ชยภัค, เบล เขมิสรา) พี่มะเดี่ยวเป็นคนเลือก ผมคิดว่าคาแรกเตอร์ของน้องๆ ทั้ง 3 คนน่าจะตรงกับภาพในหัวของพี่มะเดี่ยวนะครับ วันที่ไปถ่ายผมไปด้วย ก็ไปถ่ายที่ จ.เชียงใหม่ ผมไปถ่ายพาร์ตของผม ก็มีโอกาสได้นั่งคุยกัน
ตอนที่ถ่ายอาจจะไม่ได้อยู่เพราะต้องนั่งเรือออกไปที่เขื่อน แต่ฉากต่างๆ ผมได้ลงพื้นที่ไปดูเอง ได้เห็นภาพรวมที่ออกมาก็ชอบมาก ภาพสวยมากครับ น้องๆ เล่นกันเก่งมาก
พอรู้ว่าจะได้ปล่อยเอ็มวีก็ตื่นเต้นมากครับ มันเหมือนได้ออกเทปใหม่ๆ คือที่ผ่านมาไม่ใช่ซิงเกิลแรก เราก็แค่ปล่อยเพลง แต่พอเป็นงานชุดใหม่ มันต้องเตรียมงานหลายอย่าง มันตื่นเต้นเหมือนวันแรกๆ มันดูเยอะดี (หัวเราะ) แล้วมันหยุดอยู่บ้านนาน พอได้ออกมาทำงานแล้วสดชื่น
จากนั้นหนุ่มพูดถึงความพิเศษของอัลบั้ม JOY ไว้ว่า “สำหรับผมถือว่าเป็นชุดพิเศษ เพราะงานในอัลบั้มชุดนี้เป็นอะไรที่ผมอยากทำมาตลอดชีวิตจริงๆ และเป็นการส่งคืนความสุขที่เราเจอกันมาจนถึงอัลบั้มที่ 10 ให้แฟนเพลงจริงๆ
หลังจากซิงเกิลเพลง “จม” ผมจะพาทุกคนไปสู่โลกของผมอย่างแท้จริง แบบที่ทุกคนไม่เคยเห็นผมมาก่อนใน 20 กว่าปีที่ผ่านมา แต่ยังเปิดเผยไม่ได้จริงๆ เอาเป็นว่าจะได้เห็นคนมาฟีเจอริ่งในเพลงของผมอย่างหนำใจครับ และนักร้องบางท่านผมเชื่อว่าคุณจะต้องขยี้ตาแล้วบอกว่าเขาไม่มีทางไปฟีเจอริ่งกับใครแน่นอน แต่เขาก็มา และมันจะทำให้ทุกคนอิ่มเอมครับ
ในส่วนอัลบั้มเต็มน่าจะปล่อยช่วงเดือน ต.ค. 2564 ครับ จริงๆ งานอัลบั้มนี้ทุกคนต้องได้ฟังตั้งแต่เดือน ก.พ. แล้ว แต่มันถูกเลื่อนออกมาเพราะรอดูสถานการณ์โควิด จนตอนนี้เราเลื่อนต่อไม่ได้แล้ว เพราะแพลนที่เราวางไว้ เพลงบางเพลงถูกปูทางเพื่อเข้าคอนเสิร์ตใหญ่ปลายปี ซึ่งเราจะไม่เปลี่ยนแพลนแล้ว ในส่วนคอนเสิร์ตใหญ่ตอนนี้ยังมีอยู่ ยังคุยงานอยู่ตลอด เหมือนจะได้ข้อสรุปหมดแล้ว เพราะเราเลื่อนมาจากปีที่แล้วมา 2 ครั้ง ครั้งนี้ก็ภาวนาว่าจะไม่ถูกเลื่อนอีกครับ”.
ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : วัชรชัย คล้ายพงษ์
กราฟิก : Theerapong Chaiyatep
https://www.thairath.co.th/entertain/news/2114385
18 ก.ค. 65 / อ่าน 2099
14 ก.ค. 65 / อ่าน 1906
12 ก.ค. 65 / อ่าน 2180
11 ก.ค. 65 / อ่าน 2256
5 ก.ค. 65 / อ่าน 1507
4 ก.ค. 65 / อ่าน 1672