-
หลังจาก 1 เดือน
คุณจะต้องจ่าย บ. -
หลังจาก 6 เดือน
คุณจะต้องจ่าย บ. -
หลังจาก 1 ปี
คุณจะต้องจ่าย บ. -
หลังจาก 5 ปี
คุณจะต้องจ่าย บ.
สารสำคัญใน "กัญชา" อย่าง THC เป็นสารออกฤทธิ์ต่อสมอง ทำให้ร่างกาย อารมณ์ และจิตใจเปลี่ยนแปลงไป หลังบริโภคกัญชาควรสังเกตอาการตนเองทุกครั้ง หลังการใช้ 1-3 ชม. หากมีอาการแพ้หรือเมาตามอาการต่อไปนี้ควรพบแพทย์
เมื่อ “ปลดล็อกกัญชา” ไม่นับเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 แล้ว ร้านอาหารหลากหลายร้านต่างจับเทรนด์นำ "กัญชา" มาเป็นส่วนประกอบของอาหารหรือเครื่องดื่มเพื่อดึงดูดลูกค้าที่อยากลิ้มลอง แต่ถึงอย่างนั้นข้อควรระวังของการรับประทานกัญชาก็มีอยู่เช่นกัน ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถบริโภคได้!
กัญชา กินเพื่ออะไร?
กัญชาปรากฏอยู่ในตำรับยาและตำราอาหารของไทยตั้งแต่อดีตมานานแล้ว ซึ่ง “กัญชา” มีรสเมา กลิ่นเหม็นเขียว แพทย์แผนไทยใช้ประโยชน์ของกัญชาเป็นยาเจริญอาหาร ชูกำลัง แต่ทำให้ใจขลาด มีการใช้ดอกของกัญชาผสมเป็นยาแก้โรคเส้นประสาท และโรคนอนไม่หลับต่างๆ
นอกจากนี้สรรพคุณ "กัญชาทางการแพทย์" ที่มีงานศึกษาวิจัยหลายชิ้นในต่างประเทศ พบว่า มีสรรพคุณเด่นเรื่องการช่วย "คลายเครียด" และบรรเทาความวิตกกังวลได้ และมีส่วนช่วยรักษา และบรรเทาอาการของโรคร้ายแรงได้หลายโรค ได้แก่
บริโภค "กัญชา" อย่างไรให้ถูกต้อง?
กรมอนามัยได้แนะนำปริมาณใบกัญชาต่อเมนูไว้ในประกาศกรมอนามัย เรื่อง การนำใบกัญชามาใช้ในการทำ ประกอบ หรือปรุงอาหารในสถานประกอบกิจการอาหาร พ.ศ. 2565 ดังนี้
โดยผู้ที่ต้องระมัดระวังในการรับประทาน "กัญชา" คือ
1. เด็ก เยาวชน ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี อาจเกิดภาวะเสพติดได้
2. ผู้สูงอายุ
3. หญิงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร รวมทั้งผู้หญิงที่วางแผนกำลังจะมีบุตร
4. ผู้มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะผู้ที่ตับและไตบกพร่อง ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด
5. ผู้ที่ใช้ยาวาร์ฟารินหรือยาละลายลิ่มเลือดเป็นประจำ เพราะกัญชาจะไปเพิ่มฤทธิ์ให้ยาวาร์ฟารินจนเป็นอันตรายต่อร่างกาย
6. ผู้ใช้ยาที่มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ยารักษากลุ่มโรคทางจิตเวช
สังเกตอาการ “แพ้-เมากัญชา” พร้อมวิธีรักษาเบื้องต้น
ถึงแม้ว่ากัญชาจะมีสรรพคุณมากมาย แต่ใช่ว่าใครก็จะสามารถกินได้ เพราะกัญชามีสาร THC จะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง คือ มีฤทธิ์ต่อสมองและทำให้ร่างกายอารมณ์ และจิตใจเปลี่ยนแปลงไป ผู้เริ่มกินเมนูกัญชาควรเริ่มในปริมาณน้อย แค่ครึ่งใบ - 1 ใบต่อวันก่อน
ทั้งนี้ การตอบสนองของร่างกายเมื่อได้รับกัญชามีความแตกต่างกันแต่ละบุคคล ดังนั้น ควรสังเกตอาการตนเองทุกครั้งเมื่อใช้ 1 - 3 ชั่วโมง โดยให้เน้นใช้เพื่อการแพทย์ในการรักษาโรคเท่านั้น สำหรับอาการผิดปกติที่พบบ่อย ได้แก่ ง่วงนอนมากกว่าปกติ, ปากแห้ง, คอแห้ง, วิงเวียนศีรษะ, คลื่นไส้อาเจียน
อาการผิดปกติที่ควรไปพบแพทย์ ได้แก่ หัวใจเต้นเร็วและรัวผิดจังหวะ, เป็นลมหมดสติ, เจ็บหน้าอกร้าวไปที่แขน, เหงื่อแตก ตัวสั่น, อึดอัดหายใจไม่ออก, เดินเซ พูดไม่ชัด สับสน, กระวนกระวาย, วิตกกังวล หวาดระแวงไม่สมเหตุสมผล, หูแว่ว เห็นภาพหลอน, พูดคนเดียว, อารมณ์แปรปรวน
วิธีแก้อาการ "เมากัญชา" เบื้องต้น
สำหรับ ผู้ที่บริโภคกัญชาแล้วมีอาการ "เมากัญชา" มีคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีแก้อาการเมากัญชาหรืออาการผิดปกติเล็กน้อยในเบื้องต้น ดังนี้
1. หากปากแห้งคอแห้ง ให้ดื่มน้ำเปล่าตามในปริมาณมาก
2. ดื่มน้ำมะนาวครึ่งลูก ผสมเกลือปลายช้อน
3. เคี้ยวพริกไทย
4. หากรู้สึกวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ให้ดื่มน้ำขิง
-----------------------------------------
ที่มา : กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข
https://www.bangkokbiznews.com/health/1009751
18 ก.ค. 65 / อ่าน 2656
14 ก.ค. 65 / อ่าน 2353
12 ก.ค. 65 / อ่าน 2710
11 ก.ค. 65 / อ่าน 3020
5 ก.ค. 65 / อ่าน 1750
4 ก.ค. 65 / อ่าน 1940